บริวารของดวงอาทิตย์
บริวารของดวงอาทิตย์จะโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ ได้แก่ดาวเคราะห์ 8 ดวง
ดวงจันทร์ที่เป็นบริวารดาวเคราะห์
ดาวเคราะห์แคระ
ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ
ดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง
ได้แก่
1) ดาวพุธ
(Mercury) เป็นดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด
เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก และไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร
โครงสร้างภายในของดาวพุธประกอบไปด้วยแกนเหล็กขนาดใหญ่มีรัศมีประมาณ 1,800 ถึง 1,900 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชั้นที่เป็นซิลิเกต
(ในทำนองเดียวกับที่แกนของโลกถูกห่อหุ้มด้วยแมนเทิลและเปลือก) ซึ่งหนาเพียง 500 ถึง 600 กิโลเมตร
บางส่วนของแกนอาจจะยังหลอมละลายอยู่ ในปี พ.ศ.2517
สหรัฐอเมริกาได้ส่งยานมารีเนอร์ 10
ไปสำรวจและทำแผนที่พื้นผิวดาวพุธเป็นครั้งแรก
แต่เนื่องจากดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก จึงสามารถทำแผนที่ได้เพียงร้อยละ 45 ของพื้นที่ทั้งหมด
พื้นผิวดาวพุธเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายคล้ายกับพื้นผิวดวงจันทร์
มีเทือกเขาสูงใหญ่และแอ่งที่ราบขนาดใหญ่อยู่ทั่วไป
แอ่งที่ราบแคลอริสมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1,300
กิโลเมตร นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่า แอ่งที่ราบขนาดใหญ่เช่นนี้เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตในยุคเริ่มแรกของระบบสุริยะ
ดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม
ดาวพุธอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกลางวันจึงมีอุณหภูมิสูงถึง 430 °C แต่กลางคืนอุณหภูมิลดเหลือเพียง
-180°C อุณหภูมิกลางวันกลางคืนแตกต่างกันถึง 610°C
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 57.91 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 87.97 วัน
- ความรีของวงโคจร 0.206
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
7°
- แกนเอียง 0°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 58.65 วัน
- รัศมีของดาว 2,440 กิโลเมตร
- มวล 0.055
ของโลก
- ความหนาแน่น 0.98 ของโลก
- แรงโน้มถ่วง 0.38 ของโลก
- องค์ประกอบของบรรยากาศที่เบาบางมาก
ไฮโดรเจน, ฮีเลียม, โซเเดียม, โปแตสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียม
- อุณหภูมิ -180°C ถึง 430°C
- ไม่มีดวงจันทร์
- ไม่มีวงแหวน
2) ดาวศุกร์ (Venus) อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่
2 เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ไม่มีดวงจันทร์บริวาร ดาวศุกร์มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับโลก
จนได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์ฝาแฝดกับโลกของเรา โครงสร้างภายในของดาวศุกร์
ประกอบด้วย แกนกลางที่เป็นเหล็กมีรัศมีประมาณ 3,000 กิโลเมตร
ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร
และเปลือกแข็งที่ประกอบด้วยหินซิลิเกต
ยานอวกาศลำแรกที่เดินทางไปดาวศุกร์คือ
มาริเนอร์ 2 ในปี พ.ศ.2505
หลังจากนั้นก็มีอีกหลายลำ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2532
ยานอวกาศแมกเจลแลนได้ใช้เรดาร์ในการสำรวจผ่านชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นของดาวศุกร์เพื่อทำแผนที่พื้นผิวของดาว
การสำรวจโดยใช้สัญญาณเรดาร์ทำให้ทราบระดับสูงของพื้นผิวดาวศุกร์
และพบว่าพื้นผิวดาวศุกร์ปกคลุมไปด้วยภูเขาไฟใหญ่และที่ราบที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นผิวดาวศุกร์ไม่มีหลุมอุกกาบาตขนาดเล็ก เนื่องจากว่า
อุกกาบาตจะถูกเผาไหม้ไปจนหมดในระหว่างที่ตกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นของดาวศุกร์
ชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นมีความหนาแน่นมาก
ความกดอากาศบนพื้นผิวดาวศุกร์สูงกว่าความกดอากาศบนพื้นผิวโลก 90 เท่า หรือมีค่าเท่ากับความดันที่ใต้ทะเลลึก 1
กิโลเมตร
บรรยากาศของดาวศุกร์ประกอบไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่
และมีชั้นเมฆอยู่หลายชั้นที่ประกอบไปด้วยแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (กรดกำมะถัน)
ซึ่งมีความหนาหลายกิโลเมตร ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นพื้นผิวดาวศุกร์ ชั้นบรรยากาศที่หนาทึบทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกกักเก็บความร้อนไว้
ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 470°C จะเห็นได้ว่าพื้นผิวดาวศุกร์ร้อนกว่าพื้นผิวดาวพุธมาก ทั้งๆ
ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์กว่าดาวพุธถึงสองเท่าก็ตาม
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 108.21 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 224.70 วัน
- ความรีของวงโคจร 0.0068
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
3.39°
- แกนเอียง 177.3°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 243.02 วัน (หมุนย้อนทางกับดาวเคราะห์ดวงอื่น)
- รัศมีของดาว 6,052 กิโลเมตร
- มวล 0.815
ของโลก
- ความหนาแน่น 0.95 ของโลก
- แรงโน้มถ่วง 0.91 ของโลก
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ คาร์บอนไดออกไซด์
- อุณหภูมิพื้นผิว 470°C
- ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีวงแหวน
3) โลก (The Earth) เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีสภาวะแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3
และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5
โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมแป้นมีรัศมีเฉลี่ย 6,371 กิโลเมตร
โครงสร้างภายในของโลกประกอบไปด้วยแก่นชั้นในที่เป็นเหล็ก มีรัศมีประมาณ 1,200 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยแก่นชั้นนอกที่เป็นของเหลว (Liquid) ประกอบด้วยเหล็กและนิเกิล มีความหนาประมาณ 2,200
กิโลเมตร ถัดขึ้นมาเป็นชั้นแมนเทิลซึ่งเป็นของแข็งเนื้ออ่อนที่ยืดหยุ่นได้ (Plastic)
ประกอบไปด้วย เหล็ก แมกนีเซียม ซิลิกอน และธาตุอื่นๆ
มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร เปลือกโลกเป็นของแข็ง (Solid)
มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นเฟลด์สปาร์ และควอตช์ (ซิลิกอนไดออกไซด์)
บรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน 77 %
ออกซิเจน 21% ที่เหลือเป็นอาร์กอน
คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ
คาร์บอนไดออกไซด์ช่วยในการกักเก็บความร้อนไว้ภายใต้ชั้นบรรยากาศโดยอาศัยภาวะเรือนกระจก
ทำให้โลกมีความอบอุ่น ไม่หนาวเย็นจนเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ตามถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นมากขึ้นก็จะทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
ซึ่งอาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้
นอกจากนี้โลกยังมีสนามแม่เหล็กซึ่งเกิดจากการเคลื่อนที่ของแก่นชั้นนอกซึ่งเป็นเหล็กเหลว
ถึงแม้ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะมีความเข้มไม่มาก
แต่ก็ช่วยปกป้องไม่ให้อนุภาคที่มีพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ (Solar
wind) เดินทางผ่านมาที่ผิวโลกได้
โดยสนามแม่เหล็กจะกักให้อนุภาคเดินทางไปตามเส้นแรงแม่เหล็ก
และเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้เพียงที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เท่านั้น
เมื่ออนุภาคพลังงานสูงปะทะกับโมเลกุลของแก๊สในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดแสงสีสวยงาม
สังเกตเห็นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เรียกว่า "แสงเหนือแสงใต้" (Aurora)
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 149.60 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 365.26 วัน
- ความรีของวงโคจร 0.0167
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
0.00005°
- แกนเอียง 23.45°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.93 ชั่วโมง
- รัศมีของโลก 6,378 กิโลเมตร
- มวล 5.97 x 1024 กิโลกรัม
- ความหนาแน่น 5.515 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
- แรงโน้มถ่วง 9.8 เมตร/วินาที
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
ไนโตรเจน ออกซิเจน
- อุณหภูมิพื้นผิว -88°C ถึง 58°C
- มีดวงจันทร์ 1 ดวง ไม่มีวงแหวน
4) ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก
ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแก่นของแข็งมีรัศมีประมาณ 1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินหนืดหนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมีเปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก
ดาวอังคารมีสีแดงเนื่องจากพื้นผิวประกอบด้วยออกไซด์ของเหล็ก
(สนิมเหล็ก)
พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย หุบเหวขนาดใหญ่ชื่อ
หุบเหวมาริเนอริส (Valles Marineris) มีความยาว 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร ลึก 8 กิโลเมตร
นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดในระบบสุริยะชื่อ
ภูเขาไฟโอลิมปัส (Mount Olympus) สูง 25 กิโลเมตร ฐานที่แผ่ออกไปมีรัศมี 300 กิโลเมตร
ดาวอังคารมีบรรยากาศเบาบางมาก
ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเกิดจากการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง
(คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร ที่บริเวณขั้วเหนือและขั้วใต้ของดาวมีน้ำแข็ง (Ice
water) ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์ในหลายสิบปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่มีการสังเกตดาวอังคารผ่านกล้องโทรทรรศน์
และพบรูปร่างพื้นผิวที่คล้ายกับคลองส่งน้ำของมนุษย์ดาวอังคาร
(ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่จริงบนดาวอังคาร)
แต่หลังจากที่องค์การนาซาได้ส่งยานไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทราบว่า
ลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพื้นผิวดาวอังคารโดยยานไวกิงออร์บิเตอร์ 1
และยานมาร์สโกลบอลเซอร์เวเยอร์พบร่องรอยท้องแม่น้ำที่เหือดแห้ง
นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่า ถ้าเคยมีสิ่งมีชิวิตอยู่บนดาวอังคารมาก่อน
ก็น่าจะมีซากหรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นใต้ท้องน้ำหรือใต้น้ำแข็งที่ขั้วทั้งสองของดาวอังคาร
ดาวอังคารมีดวงจันทร์บริวารขนาดเล็ก
2 ดวง คือ โฟบัสและดีมอส
ดวงจันทร์ทั้งสองดวงมีรูปร่างไม่สมมาตร และมีขนาดเล็กกว่า 25
กิโลเมตร
สันนิษฐานว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคารดูดจับมาเป็นบริวาร
ภายหลังการก่อตัวของระบบสุริยะ
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 227.94 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 1.88 ปี (687 วัน)
- ความรีของวงโคจร 0.0934
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
1.8°
- แกนเอียง 25.19°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 24.62 วัน
- รัศมีของดาว 3,397 กิโลเมตร
- มวล 0.107
ของโลก
- ความหนาแน่น 0.714 ของโลก
- แรงโน้มถ่วง 0.38 ของโลก
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน อาร์กอน
- อุณหภูมิ -87°C ถึง -5°C
- มีดวงจันทร์ 2 ดวง ไม่มีวงแหวน
5) ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) เป็นวัตถุท้องฟ้าที่มีความสว่างมากเป็นอันดับที่
4 รองจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวศุกร์
และเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ดาวพฤหัสบดีถูกสำรวจเป็นครั้งแรกโดยยานไพโอเนียร์ 10
ในปี พ.ศ.2516 ติดตามด้วย ไพโอเนียร์ 11, วอยเอเจอร์ 1, วอยเอเจอร์ 2, ยูลิซิส
และกาลิเลโอ
ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์แก๊สซึ่งบรรยากาศหนาแน่น
มีองค์ประกอบหลักเป็นไฮโดรเจน 90% และฮีเลียม 10% ปะปนด้วยมีเทน น้ำ และแอมโมเนียจำนวนเล็กน้อย
ลึกลงไปด้านล่างเป็นแมนเทิลชั้นนอกซึ่งประกอบไปด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว
และแมนเทิลชั้นในที่ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนซึ่งมีสมบัติเป็นโลหะ
และแก่นกลางที่เป็นหินแข็งมีขนาดเป็น 2 เท่าของโลก
ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่กว่าโลกมาก
แต่หมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบใช้เวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง
แรงหนีศูนย์กลางเหวี่ยงให้ดาวมีสัณฐานเป็นทรงแป้น
และทำให้การหมุนเวียนของชั้นบรรยากาศแบ่งเป็นแถบสีสลับกัน
แถบเหล่านี้เป็นเซลล์การพาความร้อน (Convection cell) แถบสีอ่อนคืออากาศร้อนยกตัว
แถบสีเข้มคืออากาศเย็นจมตัวลง นอกจากนั้นยังมีจุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) เป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้าง 25,000 กม.
สามารถบรรจุโลกได้สองดวง จุดแดงใหญ่เป็นพายุหมุนซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปี
ปี
พ.ศ.2552 ยานวอยเอเจอร์พบว่า
ดาวพฤหัสบดีมีวงแหวนเช่นเดียวกับดาวเสาร์ แต่มีขนาดเล็กและบางกว่ามาก
วงแหวนเหล่านี้ประกอบไปด้วยเศษหินและฝุ่นที่มีขนาดเล็ก แต่ไม่มีน้ำแข็งเป็นองค์ประกอบ
จึงทำให้วงแหวนไม่สว่างมาก
(หินและฝุ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ไม่ดีเท่ากับน้ำแข็ง) ปัจจุบันพบว่า ดาวพฤหัสมีดวงจันทร์อย่างน้อย 62 ดวง แต่มีเพียง 4
ดวงที่เป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่และมีรูปร่างเป็นทรงกลม ได้แก่ ไอโอ ยุโรปา แกนีมีด
และคัลลิสโต เรียกโดยรวมว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน (Galilean moons) เนื่องจากเป็นดวงจันทร์ที่ค้นพบโดยกาลิเลโอ
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 778.41 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 11.86 ปี
- ความรีของวงโคจร 0.048
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
1.3°
- แกนเอียง 3.12°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 9.92 ชั่วโมง
- รัศมีของดาว 71,492 กิโลเมตร
- มวล 317.82
ของโลก
- ความหนาแน่น 1.33 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
- แรงโน้มถ่วง 20.87 เมตร/วินาที2
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
ไฮโดรเจน ฮีเลียม
- อุณหภูมิ -148°C
- ดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 62 ดวง วงแหวน 3 วง
6) ดาวเสาร์ (Saturn) เป็นดาวเคราะห์ที่รู้จักกันมาตั้งแต่ก่อนยุคประวัติศาสตร์
กาลิเลโอสังเกตดาวเสาร์ด้วยกล้องโทรทรรศน์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2153
เขามองเห็นดาวเสาร์มีลักษณะเป็นวงรี จนกระทั่งปี พ.ศ.2202 คริสเตียน ฮอยเกนส์ พบว่าวงรีที่กาลิเลโอเห็นนั้นคือวงแหวนของดาวเสาร์
เป็นที่เชื่อกันว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวของระบบสุริยะที่มีวงแหวน
จนกระทั่งต่อมาได้มีการส่งยานอวกาศไปค้นพบวงแหวนบางๆ รอบดาวพฤหัสบดี ดาวยูเรนัส
และดาวเนปจูน ดาวเสาร์ถูกสำรวจโดยยานไพโอเนียร์ 11 ในปี พ.ศ.2522 ตามด้วยยานวอยเอเจอร์ 1 ยานวอยเอเจอร์ 2 และยานแคสสินีในปี พ.ศ.2547
บรรยากาศของดาวเสาร์เป็น ไฮโดรเจน 75% ฮีเลียม 25% ปะปนไปด้วยน้ำ มีเทน แอมโมเนีย จำนวนเล็กน้อย
แถบสีบนดาวเสาร์เกิดขึ้นจากการหมุนรอบตัวเองเร็วมาก
จนทำให้เกิดการหมุนวนของชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน
จึงปรากฏเป็นแถบเข้มและจางสลับกันไป
โครงสร้างภายในของดาวเสาร์มีลักษณะคล้ายคลึงกับของดาวพฤหัสบดี
มีแกนกลางที่เป็นหินแข็ง ห่อหุ้มด้วยแมนเทิลชั้นในที่เป็นโลหะไฮโดรเจน
และแมนเทิลชั้นนอกที่เป็นไฮโดรเจนและฮีเลียมเหลว
ดาวเสาร์มีมวลมากจึงมีแรงโน้มถ่วงมาก
สามารถดูดจับดาวเคราะห์น้อยและดาวหางมาเป็นบริวาร ได้เป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันมีดวงจันทร์ที่ถูกค้นพบแล้ว 62 ดวง
ดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ ไททัน (Titan)
มีขนาดใหญ่หว่าดาวพุธ ไททันมีชั้นบรรยากาศหนาแน่นกว่าโลก
มีองค์ประกอบเป็นมีเทนทั้งสามสถานะ บนไททันมีฝนมีเทน เมฆมีเทน และมีเทนแข็ง แก๊สไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่
คล้ายคลึงกับชั้นบรรยากาศของโลก ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์สนใจไททันมากเป็นพิเศษ
เพราะอาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
ดวงจันทร์ที่มีขนาดรองลงมาได้แก่ รีอา ไดโอนี ไอเอพีทุส เทธิส เอนเซลาดุส
และ มิมาส ส่วนใหญ่มีพื้นผิวเป็นน้ำแข็งและมีหินผสมอยู่เล็กน้อย
วงแหวนดาวเสาร์
ดาวเสาร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์
10 AU จึงไม่ถูกรบกวนจากลมสุริยะจากดวงอาทิตย์
จึงไม่สูญเสียบรรยากาศชั้นนอกและมีมวลมาก มวลมากย่อมมีแรงโน้มถ่วงมาก
สามารถดูดจับดาวหางที่โคจรผ่านเข้ามา ดาวหางมีองค์ประกอบเป็นน้ำแข็งจึงเปราะมาก เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดาวเสาร์
แรงโน้มถ่วงมหาศาลจะทำให้เกิดแรงไทดัลภายในดาวหาง
ด้านที่หันเข้าหาดาวเสาร์จะถูกแรงกระทำมากกว่าด้านอยู่ตรงข้าม
ในที่สุดดาวหางไม่สามารถทนทานต่อแรงเครียดภายใน จึงแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยสะสมอยู่ในวงโคจรรอบดาวเสาร์และกลายเป็นวงแหวนในที่สุด
ด้วยเหตุนี้วงแหวนของดาวเสาร์จึงประกอบด้วยอนุภาคจำนวนมหาศาลซึ่งมีวงโคจรอิสระ
มีขนาดตั้งแต่เซนติเมตรไปจนหลายร้อยเมตร ส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำแข็ง
ปะปนอยู่กับเศษหินเคลือบน้ำแข็ง วงแหวนของดาวเสาร์บางมาก แม้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง
250,000 กิโลเมตร แต่มีความหนาไม่ถึง 1.5 กิโลเมตร วงแหวนแต่ละชั้นมีชื่อเรียกตามอักษรภาษาอังกฤษ เช่น วงแหวนสว่าง
(A และ B) และวงสลัว (C) ช่องระหว่างวงแหวน A และ B เรียกว่า
ช่องแคสสินี (Cassini division )
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 1,427 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 29.4 ปี
- ความรีของวงโคจร 0.054
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
2.484°
- แกนเอียง 26.73°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 10.66 ชั่วโมง
- รัศมีของดาว 60,268 กิโลเมตร
- มวล 95.16
ของโลก
- ความหนาแน่น 0.7 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร (น้อยกว่าน้ำ)
- แรงโน้มถ่วง 7.2 เมตร/วินาที2
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
ไฮโดรเจน ฮีเลียม
- อุณหภูมิ -178°C
- ดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 62 ดวง
- วงแหวนที่ค้นพบแล้ว 7 วง
7) ยูเรนัส (Uranus) ถูกค้นพบครั้งแรกโดย วิลเลี่ยม
เฮอส์เชล ในปี พ.ศ.2534
สองร้อยปีต่อมา ยานวอยเอเจอร์ 2
ทำการสำรวจดาวยูเรนัสในปี พ.ศ. 2529 พบว่า
บรรยากาศของดาวยูเรนัสประกอบด้วยไฮโดรเจน 83%, ฮีเลียม 15% และมีเทน 2%
ดาวยูเรนัสมีสีฟ้าเนื่องจากแก๊สมีเทนดูดกลืนสีแดงและสะท้อนสีน้ำเงิน
บรรยากาศมีลมพัดแรงมาก ลึกลงไปที่แก่นของดาวห่อหุ้มด้วยโลหะไฮโดรเจนเหลว
ขณะที่ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่มีแกนหมุนรอบตัวเองเกือบตั้งฉากกับระนาบสุริยวิถี
แต่แกนของดาวยูเรนัสวางตัวเกือบขนานกับสุริยวิถี
ดังนั้นอุณหภูมิบริเวณขั้วดาวจึงสูงกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตร ดาวยูเรนัสมีวงแหวนเช่นเดียวกับดาวเคราะห์ชั้นนอกดวงอื่นๆ
วงแหวนของดาวยูเรนัสมีความสว่างไม่มาก เนื่องจากประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็ก
มีขนาดตั้งแต่ฝุ่นผงจนถึง 10 เมตร ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารอย่างน้อย 27 ดวง ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นทรงกลม ได้แก่ มิรันดา แอเรียล
อัมเบรียล ไททาเนีย และ โอเบรอน
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 2,870 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 80 ปี
- ความรีของวงโคจร 0.047
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
0.77°
- แกนเอียง 97.86°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 17.24 ชั่วโมง
- รัศมีของดาว 25,559 กิโลเมตร
- มวล 14.371
ของโลก
- ความหนาแน่น 1.32 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
- แรงโน้มถ่วง 8.43 เมตร/วินาที2
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
ไฮโดรเจน ฮีเลียม
- อุณหภูมิ -216°C
- ดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 27 ดวง
- วงแหวนที่ค้นพบแล้ว 13 วง
8) ดาวเนปจูน (Neptune) ถูกค้นพบเนื่องจากนักดาราศาสตร์พบว่า
ตำแหน่งของดาวยูเรนัสในวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไม่ได้เป็นไปตามกฏของนิวตันจึงตั้งสมมติฐานว่า
จะต้องมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่อยู่ไกลถัดออกไปมารบกวนวงโคจรของดาวยูเรนัส
ในที่สุดดาวเนปจูนก็ถูกค้นพบโดย โจฮานน์ กัลเล ในปี พ.ศ.2389 ต่อมาในปี พ.ศ.2532
ยานวอยเอเจอร์ 2 พบว่า
ดาวเนปจูนมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับดาวยูเรนัส คือ
มีบรรยากาศเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียม และมีมีเทนเจือปนอยู่จึงมีสีน้ำเงิน
ดาวเนปจูนมีขนาดเล็กกว่าดาวยูเรนัสเล็กน้อย แต่มีความหนาแน่นมากกว่า
โดยที่แก่นของดาวเนปจูนเป็นของแข็งมีขนาดใกล้เคียงกับโลกของเรา ในช่วงเวลาที่ยานวอยเอเจอร์ 2 เข้าใกล้ดาวเนปจูนได้ถ่ายภาพ จุดมืดใหญ่ (Great dark spot) ทางซีกใต้ของดาวมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี
(ประมาณเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก) จุดมืดใหญ่นี้เป็นพายุหมุนเช่นเดียวกับจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี
มีกระแสลมพัดแรงที่สุดในระบบสุริยะ ความเร็วลม 300
เมตร/วินาที หรือ 1,080 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ดาวเนปจูนมีวงแหวน
4 วง แต่ละวงมีความสว่างไม่มากนัก
เพราะประกอบด้วยอนุภาคที่เป็นผงฝุ่นขนาดเล็ก จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวนของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 13 ดวง ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่สุดชื่อ "ทายตัน" (Triton) ทายตันเคลื่อนที่ในวงโคจรโดยมีทิศทางสวนกับการหมุนรอบตัวเองของดาวเนปจูน
ซึ่งอาจเป็นเพราะถูกแรงโน้มถ่วงของดาวเนปจูนจับเป็นบริวารภายหลังจากการก่อตัวของระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์พยากรณ์ว่า
ทายตันจะโคจรเข้าใกล้ดาวเนปจูนเรื่อยๆ และจะพุ่งเข้าชนดาวเนปจูนในที่สุด
(อาจใช้เวลาเกือบ 100 ล้านปี)
ข้อมูลสำคัญ
- ระยะทางเฉลี่ยจากดวงอาทิตย์ 4,498 ล้านกิโลเมตร
- คาบวงโคจร 164.8 ปี
- ความรีของวงโคจร 0.0086
- ระนาบวงโคจรทำมุมกับระนาบสุริยวิถี
1.769°
- แกนเอียง 29.58°
- หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 16.11 ชั่วโมง
- รัศมีของดาว 24,764 กิโลเมตร
- มวล 17.147
ของโลก
- ความหนาแน่น 1.64 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
- แรงโน้มถ่วง 10.71 เมตร/วินาที2
- องค์ประกอบหลักของบรรยากาศ
ไฮโดรเจน ฮีเลียม
- อุณหภูมิ -214°C
- ดวงจันทร์ที่ค้นพบแล้ว 13 ดวง
- วงแหวนที่ค้นพบแล้ว 6 วง